analyticstracking
ผลสำรวจเรื่อง “คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาสในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19
                           คลี่คลาย (ครั้งที่ 4) ”
           ประชาชนมีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้าเพิ่มขึ้น หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย
    จากการสำรวจช่วง มิ.ย. 2565 โดยเพิ่มขึ้นจากร้อยละ 53.1 เป็นร้อยละ 56.6

           สำหรับเหตุผลหลักที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองคือ ยังไม่มีเงินทุนมากพอ

           ส่วนใหญ่ร้อยละ 60.5 เชื่อหลังสถานการณ์โควิด-19คลี่คลาย จะทำให้คนอยากเริ่มต้น
    ธุรกิจใหม่ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
 
 
 
ดีมาก (5)
ดี (4)
ปานกลาง (3)
พอใช้ (2)
แย่ (1)
 
 
                  กรุงเทพโพลล์ร่วมกับคณะการสร้างเจ้าของธุรกิจและการบริหารกิจการ
มหาวิทยาลัยกรุงเทพ สำรวจความเห็นประชาชนเรื่อง “คนไทยคิดอย่างไรกับโอกาส
ในการเป็นเจ้าของธุรกิจ หลังสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลาย (ครั้งที่ 4)”
โดยเก็บ
ข้อมูลจากประชาชนทั่วประเทศ จำนวน 1,184 คน พบว่า
 
                  จากการสำรวจความเห็นเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบ
การ (เจ้าของธุรกิจ) ครั้งที่ 4โดยได้ทำการเปรียบเทียบกับการสำรวจครั้งที่ 3
(ช่วงเดือน มิ.ย. 2565) ในประเด็นต่างๆ พบว่า มีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ
ในอนาคตข้างหน้ามากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 56.6 (โดยเพิ่มขึ้นจากการสำรวจ
ครั้งที่ 3 ร้อยละ 3.5)
รองลงมาคือ เห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจ
ในอนาคตมากที่สุด คิดเป็นร้อยละ 55.7 (ลดลงร้อยละ 2.0) และเห็นว่าตนเองมีความรู้
ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นในการที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่ คิดเป็น
ร้อยละ 50.4 (ลดลงร้อยละ 1.3) ขณะที่เห็นว่าไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัว
ความล้มเหลว คิดเป็นร้อยละ 68.8 (เพิ่มขึ้น ร้อยละ 4.6)
 
                  ทั้งนี้สาเหตุที่ไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวเองมากที่สุดคือ ไม่มีเงินทุนมากพอ คิดเป็นร้อยละ 47.6
รองลงมาคือ น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาสูงขึ้น คิดเป็นร้อยละ 46.0 กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน คิดเป็นร้อยละ 41.4 ปัญหา
เงินเฟ้อในปัจจุบัน คิดเป็นร้อยละ 35.7 และกลัวทำแล้วเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ คิดเป็น
ร้อยละ 33.5
 
                  สุดท้ายเมื่อถามความเห็นต่อสถานการณ์โควิด-19 คลี่คลายจะทำให้อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่
มากน้อยเพียงใด ส่วนใหญ่ร้อยละ 60.5 ทำให้อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
ขณะที่ร้อยละ 39.5
ทำให้อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
 
 
                  โดยมีรายละเอียดดังต่อไปนี้
 
             1. ประเด็นคำถามเกี่ยวกับจิตวิญญาณของการเป็นผู้ประกอบการ (เจ้าของธุรกิจ)

คำถาม
สำรวจ
ก.ย.65)
สำรวจ
(มิ.ย.65)
เพิ่มขึ้น/
ลดลง
ร้อยละ
ร้อยละ
ร้อยละ
ท่านมีความตั้งใจที่จะประกอบธุรกิจ ในอนาคตข้างหน้า
56.6
53.1
+3.5
ท่านเห็นโอกาสหรือความพร้อมสำหรับการริเริ่มธุรกิจในอนาคต
55.7
57.7
-2.0
ตัวท่านมีความรู้ความสามารถรวมถึงทักษะและประสบการณ์ที่จำเป็นใน
การที่จะเริ่มทำธุรกิจใหม่
50.4
51.7
-1.3
รู้จักผู้ประกอบการหรือมีเครือข่ายที่สามารถสนับสนุนในการริเริ่มธุรกิจ
45.6
44.4
+1.2
คิดว่าการเริ่มต้นธุรกิจใหม่เป็นสิ่งที่ง่ายในสถานการณ์ขณะนี้
16.3
16.1
+0.2
ไม่อยากลงทุนทำธุรกิจเพราะกลัวความล้มเหลว
68.8
64.2
+4.6
 
 
             2. สาเหตุที่ท่านไม่กล้าเริ่มต้นธุรกิจของตัวท่านเอง (สามารถเลือกตอบได้มากกว่า1 ข้อ)

 
ร้อยละ
ไม่มีเงินทุนมากพอ
47.6
น้ำมันเชื้อเพลิงต่างๆ ราคาสูงขึ้น
46.0
กลัวล้มเหลว กลัวขาดทุน
41.4
ปัญหาเงินเฟ้อในปัจจุบัน
35.7
กลัวทำแล้วเกิดสถานการณ์ไม่คาดฝัน เช่น โรคระบาด ภัยธรรมชาติ
33.5
คิดว่างานที่ทำอยู่มั่นคงแล้ว เลี้ยงตัวเองได้แล้ว
29.7
ขาดความรู้ ความเชี่ยวชาญในการทำธุรกิจ
28.9
การขึ้นดอกเบี้ยนโยบายของแบงค์ชาติ
28.1
หากไม่สำเร็จกลัวคนในครอบครัวจะเดือดร้อน แบกภาระหนี้ร่วมกัน
25.6
ไม่รู้ว่าตัวเองจะทำธุรกิจอะไรดี
20.1
คิดว่าสายเกินไปที่จะเริ่มต้นใหม่
19.4
กลัวการเริ่มต้นว่าจะทำไม่ได้
11.1
อื่นๆ อาทิ เศรษฐกิจไม่ดี สุขภาพไม่ดี การเมืองไม่นิ่ง ฯลฯ
6.0
 
 
             3. ความเห็นต่อสถานการณ์โควิด 19 คลี่คลายจะทำให้อยากเริ่มต้นธุรกิจใหม่มากน้อยเพียงใด

 
ร้อยละ
ค่อนข้างมากถึงมากที่สุด
(โดยแบ่งเป็น ค่อนข้างมาก ร้อยละ 46.7 และมากที่สุด ร้อยละ 13.8)
60.5
ค่อนข้างน้อยถึงน้อยที่สุด
(โดยแบ่งเป็น ค่อนข้างน้อย ร้อยละ 32.9 และน้อยที่สุด ร้อยละ 6.6)
39.5
 
 
รายละเอียดการสำรวจ
วัตถุประสงค์การสำรวจ:
                  เพื่อสอบถามความคิดเห็นของประชาชนเกี่ยวกับจิตวิญญาณความเป็นผู้ประกอบการหรือเจ้าของธุรกิจ
ของคนไทย ครั้งที่ 4 ในประเด็นต่างๆ รวมถึงเหตุผลที่ทำให้ไม่กล้าเริ่มธุรกิจเป็นของตนเอง ทั้งนี้เพื่อสะท้อนมุมมอง
ความคิดเห็นของประชาชนให้สังคมและผู้ที่เกี่ยวข้องได้รับทราบ
 
ประชากรที่สนใจศึกษา:
                  การสำรวจใช้การสุ่มตัวอย่างจากประชาชนทุกภูมิภาคทั่วประเทศ โดยการสุ่มสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์
จากฐานข้อมูลของกรุงเทพโพลล์ ด้วยวิธีการสุ่มตัวอย่างแบบง่าย (Simple Random Sampling) แล้วใช้วิธีการถ่วงน้ำหนัก
ด้วยข้อมูลประชากรศาสตร์จากฐานข้อมูลทะเบียนราษฎร์ของกรมการปกครอง กระทรวงมหาดไทย
 
ความคลาดเคลื่อน (Margin of Error):
                  ในการประมาณการขนาดตัวอย่างมีขอบเขตของความคลาดเคลื่อน  3 ที่ระดับความเชื่อมั่น 95%
 
วิธีเก็บรวบรวมข้อมูล:
                  ใช้การสัมภาษณ์ทางโทรศัพท์ (Enumeration by telephone) โดยเครื่องมือที่ใช้ในการเก็บข้อมูลเป็น
แบบสอบถามที่มีโครงสร้างแน่นอนประกอบด้วยข้อคำถามแบบเลือกตอบ (Check List Nominal) จากนั้นจึงนำแบบสอบถาม
ทุกชุดมาตรวจสอบความถูกต้องสมบูรณ์ก่อนบันทึกข้อมูลและประมวลผล
 
ระยะเวลาในการเก็บข้อมูล:  : 1- 8 กันยายน 2565
 
วันที่เผยแพร่ผลสำรวจ: 13 กันยายน 2565
 
สรุปข้อมูลพื้นฐานของกลุ่มตัวอย่าง:
ตารางข้อมูลประชากรศาสตร์
 
จำนวน
ร้อยละ
เพศ:
   
             ชาย
644
54.4
             หญิง
540
45.6
รวม
1,184
100.0
อายุ:
 
 
             18 – 30 ปี
116
9.8
             31 – 40 ปี
170
14.4
             41 – 50 ปี
323
27.3
             51 – 60 ปี
306
25.8
             61 ปีขึ้นไป
269
22.7
รวม
1,184
100.0
การศึกษา:
 
 
             ต่ำกว่าปริญญาตรี
702
59.3
             ปริญญาตรี
370
31.2
             สูงกว่าปริญญาตรี
112
9.5
รวม
1,184
100.0
อาชีพ:
   
             ลูกจ้างรัฐบาล
141
11.9
             ลูกจ้างเอกชน
239
20.2
             ค้าขาย/ ทำงานส่วนตัว/ เกษตรกร
491
41.5
             เจ้าของกิจการ/ นายจ้าง
88
7.4
             ทำงานให้ครอบครัว
1
0.1
             พ่อบ้าน / แม่บ้าน / เกษียณอายุ
180
15.2
             นักเรียน/ นักศึกษา
17
1.4
             ว่างงาน
27
2.3
รวม
1,184
100.0
 
ติดตามกรุงเทพโพลล์ผ่าน twitter ได้ที่  twitter bangkokpoll
Download PDF file:  
 
ศูนย์วิจัยมหาวิทยาลัยกรุงเทพ (กรุงเทพโพลล์)    โทร. 02-407-3888 ต่อ 2897,2898